วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2559

โครงสร้างของโลก

โครงสร้างของโลก

                 โลกเป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่งในระบบสุริยะที่เกิดขึ้นประมาณ 4,600 ล้านปีมาแล้ว นักดาราศาสตร์สันนิษฐานว่า ระบบสุริยะเกิดจากการหมุนวนของฝุ่นและแก๊สในอวกาศที่เรียกว่า เนบิวลา การหมุนวนของกลุ่มแก๊สเหล่านี้จะหดตัวเป็นก้อน สภาวะแรงดึงดูดระหว่างมวลทำให้มวลส่วนใหญ่ถูกดึงดูดเข้าสู่ศูนย์กลางเกิดเป็นดวง
อาทิตย์ ฝุ่นแก๊สที่เหลือถูกเหวี่ยงหมุนเป็นวงรอบจุดศูนย์กลางรวมตัวกันกลายเป็นดาวเคราะห์ บริวารของดาวเคราะห์ ดาวเคราะห์น้อย ดาวหาง และเศษวัตถุขนาดเล็กๆ จำนวนมาก โคจรรอบดวงอาทิตย์ เรียกว่า ระบบสุริยะ บริเวณที่เป็นระบบสุริยะในปัจจุบันเคยเป็นเนบิวลาที่มีแก๊สไฮโดรเจนและธาตุต่างๆ เป็นองค์2 ประกอบหลัก แก๊สและระบบธาตุเหล่านี้มาจากเนบิวลาดั้งเดิมและเนบิวลาใหม่ที่เกิดจากซูเปอร์โนวา 



  รูปแสดงการหมุนวนของกลุ่มฝุ่นและแก๊สในอวกาศที่ทำให้เกิดระบบสุริยะ


                 เศษฝุ่นแก๊สรวมตัวกันเป็นดาวเคราะห์ทั้ง 9 ดวง รวมทั้งโลกของเราด้วย ด้วยสภาวะของแรงดึงดูดระหว่างมวล ทำให้สารส่วนใหญ่ถูกดึงเข้าสู่ศูนย์กลางเกิดเป็นดวงอาทิตย์  ฝุ่นแก๊สที่เหลือถูกเหวี่ยงหมุนเป็นวงรอบจุดศูนย์กลาง


ระบบสุริยะ

          นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าการยุบตัวรวมกันของฝุ่นแก๊สกลายเป็นระบบสุริยะ ทำให้ดวงอาทิตย์และบริวารมีส่วนประกอบที่มีธาตุต่างๆ คล้ายคลึงกัน อย่างไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์พยายามหาข้อมูลทั้งทางตรงและ ทางอ้อมที่จะศึกษาโครงสร้างและธาตุที่เป็นองค์ประกอบภายในโลก ข้อมูลที่นักวิทยาศาสตร์ศึกษาเพื่อให้รู้ถึงส่วนประกอบและลักษณะต่างๆ ภายในเปลือกโลก ได้แก่ 
     1) อุกกาบาตที่เป็นชิ้นส่วนจากอวกาศตกผ่านชั้นบรรยากาศลงมาสู่พื้นผิวโลก
     2) ชิ้นส่วนและวัตถุจากภายในโลกที่พ่นออกมาเนื่องจากการระเบิดของภูเขาไฟ
     3) ลักษณะของหินที่ขุดเจาะได้จากพื้นโลกบริเวณใต้มหาสมุทร
     4) ลักษณะของหินและแร่ที่ได้จากการขุดเจาะปิโตรเลียม
     5) การศึกษาการเดินทางของคลื่นไหวสะเทือนผ่านชั้นหินต่างๆ ภายในโลก

     จากข้อมูลและหลักฐานดังกล่าว นักวิทยาศาสตร์แบ่งโครงสร้างของโลกตามลักษณะมวลสารเป็นชั้นใหญ่ 3 ชั้น คือ ชั้นเปลือกโลก เนื้อโลก และแก่นโลก
1. ชั้นเปลือกโลก (crust) เป็นผิวด้านนอกที่ปกคลุมโลก ส่วนที่บางที่สุดของชั้นเปลือกโลกอยู่ที่มหาสมุทรแปซิฟิกทางตะวันออกของฟิลิปปินส์ และส่วนที่หนาที่สุดอยู่ที่แนวยอดเขา ชั้นเปลือกโลกแบ่งเป็น 2 บริเวณ คือ
                       1) เปลือกโลกภาคพื้นทวีป หมายถึง ส่วนที่เป็นแผ่นดินทั้งหมด ประกอบด้วยธาตุซิลิคอนร้อยละ 65275 และอะลูมิเนียมร้อยละ 25235 เป็นส่วนใหญ่ มีสีจาง เรียกหินชั้นนี้ว่า หินไซอัล (sial) ได้แก่ หินแกรนิต ผิวนอกสุดประกอบด้วยดิน และหินตะกอน
                       2) เปลือกโลกใต้มหาสมุทร หมายถึง ส่วนของเปลือกโลกที่ปกคลุมด้วยน้ำ ประกอบด้วยธาตุซิลิคอนร้อยละ 40250 และแมกนีเซียมร้อยละ 50260 เป็นส่วนใหญ่ มีสีเข้ม เรียกหินชั้นนี้ว่า หินไซมา (sima) ได้แก่ หินบะซอลต์ ติดต่อกับชั้นหินหนืด มีความลึกตั้งแต่ 5 กิโลเมตรในส่วนที่อยู่ใต้มหาสมุทรลงไปจนถึง 70 กิโลเมตรในบริเวณที่อยู่ใต้เทือกเขาสูงใหญ่
                    3) ชั้นเนื้อโลก (mantle) อยู่ถัดลงไปจากชั้นเปลือกโลก ส่วนมากเป็นของแข็ง มีความลึกประมาณ 2,900 กิโลเมตรนับจากฐานล่างสุดของเปลือกโลกจนถึงตอนบนของแก่นโลก เป็นหินหนืด ร้อนจัด ประกอบด้วยธาตุเหล็ก ซิลิคอน และอะลูมิเนียม แบ่งเป็น 3 ชั้น คือ 

                          3.1) ชั้นเนื้อโลกส่วนบน เป็นหินที่เย็นตัวแล้ว บางส่วนมีรอยแตก เนื่องจากความเปราะ ชั้นเนื้อโลก ส่วนบนกับชั้นเปลือกโลกรวมกันเรียกว่า ธรณีภาค (lithosphere) ซึ่งมีรากศัพท์มาจากภาษากรีกที่แปลว่า ชั้นหิน ชั้นธรณีภาคมีความหนาประมาณ 100 กิโลเมตรนับจากผิวโลกลงไป
                          3.2) ชั้นฐานธรณีภาค (asthenosphere) มีความลึก 1002350 กิโลเมตร เป็นชั้นที่มีแมกมา ซึ่งเป็นหินหนืดหรือหินหลอมละลายร้อน หมุนวนอยู่ภายในโลกอย่างช้าๆ
                          3.3) ชั้นเนื้อโลกชั้นล่างสุด อยู่ที่ความลึก 35022,900 กิโลเมตร เป็นชั้นที่เป็นของแข็งร้อนแต่แน่นและหนืดกว่าตอนบน มีอุณหภูมิสูงประมาณ 2,25024,500 องศาเซลเซียส
                   4) ชั้นแก่นโลก (core) แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ
                           4.1) แก่นโลกชั้นนอก อยู่ที่ความลึก 2,90025,100 กิโลเมตร เชื่อว่าประกอบด้วยสารเหลวร้อนของโลหะเหล็กและนิกเกิลเป็นส่วนใหญ่ มีความร้อนสูงมาก มีความถ่วงจำเพาะ 12
                          4.2) แก่นโลกชั้นใน อยู่ที่ความลึก 5,10026,370 กิโลเมตร มีส่วนประกอบเหมือนแก่นโลกชั้นนอก แต่อยู่ในสภาพแข็ง เนื่องจากมีความดันและอุณหภูมิสูงมาก อาจสูงถึง 6,000 องศาเซลเซียส มีความถ่วงจำเพาะ 17  ชั้นต่างๆ ของโลกมีลักษณะและสมบัติแตกต่างกัน ทั้งด้านกายภาพและส่วนประกอบทางเคมี โครงสร้างและส่วนประกอบภายในของโลกจึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยา คือ แผ่นดินไหว และภูเขาไฟระเบิด 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น